เมื่อแบรนด์หันมารุกด้วยการฟัง (Your Brand Wins in Voices)


เมื่อแบรนด์หันมารุกด้วยการฟัง
Your Brand Wins in Voices


สิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ทำงาน ให้คำปรึกษา และบรรยายสายแบรนด์มานานพอสมควร คือการได้เข้าใจถึงคำว่าแบรนด์ที่แทบไม่ต่างจากชีวิตจริงของคนเราเลย มีบางอย่างที่ตัวเราหรือแบรนด์ของเราก็ไม่สามารถพูดได้ด้วยตัวเองอย่างเต็มปาก คุณว่าจริงมั๊ย?

เคยได้ยินใครพูดว่าตนเองเป็นคนดีหรือเป็นคนเก่งบ้าง? ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร? ผู้เรียนหลายคนเคยยกมือตอบว่านั่นคือการโฆษณา บางอย่างก็ต้องเป็นเรื่องของการยอมรับ ถ้าดีจริงเก่งจริง คนที่ได้พบเห็นได้สัมผัสตัวจริงเดี๋ยวก็รู้เอง สุดท้ายผู้ฟังจะกลายเป็นผู้บอกต่อกันเพราะเป็น "ความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อคนๆนั้น" 

การพูดเองไปซะทุกอย่างเสี่ยงต่อปฏิกิริยาต่างๆ จึงมีสำนวนเด็ดที่ว่า การกระทำนั้นดังกว่าคำพูด (Actions speak louder than words) แบรนด์เองก็ไม่ต่างกันซักเท่าไหร่ จุดยืนตัวตนเรื่องเด่นข้อดีของแบรนด์มีให้พูดเพียบเลยขนมาพูดเยอะๆพูดบ่อยๆเพี่อว่าแบรนด์จะได้แจ้งเกิดและครองที่นั่งในใจผู้บริโภคได้สำเร็จ แต่การพูดอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้แปลว่าจะเกิดการยอมรับและบอกต่อ ถ้าหาก "ความรู้สึกแท้จริงต่อแบรนด์ของเรา" มันไม่ใช่อย่างที่เราเป็นหรือพูดไว้ มากไปกว่านั้นความรู้สึกแท้จริงที่ว่า ส่งผลให้พวกเขาเลือกเราหรือลาเรากันแน่

ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ไม่ใช่แบรนด์จะพูดอย่างไรแต่แบรนด์ควรจะทำตัวอย่างไรให้ผู้บริโภคพูดถึง

กลยุทธ์ที่จะช่วยให้ตัวเราหรือแบรนด์ของเราทำตัวให้ถูกพูดถึงอย่างมีพลังได้ก็คือ การหันมารุกด้วยการรับฟัง "ความรู้สึกที่แท้จริง" จากคนรอบข้างหรือผู้บริโภค เพราะแบรนด์ของจริงคือสิ่งที่พวกเขาพูดถึงตอนอยู่ลับหลังเราต่างหาก

1. เปิดใจกว้าง - เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ใช้ไขความลับของการสร้างแบรนด์ การยอมรับและเข้าใจผู้อื่นหรือผู้บริโภคก่อนคือก้าวแรกที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปรับปรุงตนเองหรือแบรนด์ของเรา

2. สร้างกระบวนการรับฟัง - เมื่อใจอยากฟังแล้วก็ต้องหาวิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสม อีกทั้งควรต้องมีความสม่ำเสมอด้วย เพราะการรับฟังที่ดีไม่ใช่สิ่งที่ทำเป็นครั้งๆไป แต่ควรทำอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ส่งเสริมจนเป็นธรรมชาติของเราหรือเป็นวัฒนธรรมองค์กรในที่สุด

3. ใส่ใจเปลี่ยนแปลง - แรงจูงใจที่ถูกต้องสำคัญต่อการพัฒนาตนเองและแบรนด์อย่างที่สุด ถ้าลูกค้าคือศูนย์กลาง ปัญญาอยู่กับคนที่ใจถ่อม ยิ่งนำมาใช้ร่วมกับผลของการรับฟัง จะเกิดประโยชน์มหาศาลต่อการรุกสร้างแบรนด์ให้ชัดเจนและแข็งแกร่งได้อย่างยั่งยืน

มาถึงจุดนี้ เสียงพูดคุยของคนอื่นหรือผู้บริโภคเวลาที่เราไม่ได้อยู่ยืนฟัง แสดงถึงความวางใจในแบรนด์ของเราที่เกิดจากการยอมรับและเป็นความรู้สึกที่แท้จริงจนอยากบอกให้ใครๆรู้ ยิ่งถ้าความรู้สึกนั้นตรงกับตัวตนที่เราเป็นจริงๆ แบรนด์ของเราย่อมโดดเด่นในใจของคนๆนั้นหรือผู้บริโภคได้เสมอ

เคยได้ยินประโยคนี้มั๊ยครับ? "จงรักษาความดีดุจเกลือที่รักษาความเค็ม" บทความนี้กำลังเตือนใจเบาๆว่าถ้าเมื่อไหร่มีคนมาบอกว่าเราเหมือนเกลือที่ไม่เค็มแล้ว ให้รีบกลับมาดูกลับมาแก้ไขที่ตัวเราด่วน ก่อนที่เราจะไม่ใช่เกลือที่เขาต้องการอีกต่อไป

คำถามทิ้งท้ายเรื่องนี้คือ แล้ว(แบรนด์)เราเคยตั้งใจฟังครั้งล่าสุดเมื่อไหร่?

อาจารย์จี
Life Strategy by JEE
Copyright © 2017

Facebook : Life Strategy by JEE
Twitter : Life Strategy by JEE

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ดักตะกอนใจ (Aware your mind's silt)

5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อ CEO ลงมือทำแบรนด์